เทรนด์สารสกัด 2026 เปลี่ยนเกมส์ให้คุณกลายเป็น “ผู้นำในตลาดบิวตี้” แนวโน้มมาแรงที่เจ้าของแบรนด์ต้องเตรียมรับมือ!
โรงงานผลิตครีม WATHOOTHORN อยากชวนเจ้าของแบรนด์ทุกคน มาอัพเดต เทรนด์สารสกัด 2026 มีอะไรมาแรงบ้าง? เพื่อที่เราจะได้เตรียมรับมือ และปรับเปลี่ยนเพื่อให้แบรนด์ของเราสามารถแข่งขันได้ในตลาด ในปี 2026 กันค่ะ จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมสกินแคร์และความงามมีการเปลี่ยนแปลงเร็วแบบ ก้าวกระโดด จากเดิมที่ผู้บริโภคสนใจแค่เรื่องการแก้ปัญหาเฉพาะจุด ก็ขยับสู่ความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ ปลอดภัยกว่า ยั่งยืนกว่า และมีงานวิจัยรองรับ และในปี 2026 ก็ถูกคาดการณ์ว่าเป็นปีที่สารสกัดและส่วนผสมใหม่ ๆ จะยิ่งมีบทบาทสำคัญ
โดยเฉพาะสารสกัดจากเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotech Beauty), ส่วนผสมที่ช่วยฟื้นฟูเกราะผิว, และสารสกัดที่ผลิตอย่างยั่งยืน
แนวโน้มหลักของส่วนผสมและสารสกัดปี 2026
ข้อมูลจากรายงานของหลายสำนัก สรุปภาพรวมตรงกันว่า เทรนด์สารสกัดปี 2026 จะมุ่งเน้นไปที่ 3 หัวใจสำคัญ ได้แก่
1) ประสิทธิภาพที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ (Science-backed Efficacy)
ผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการอะไรที่ เห็นผลจริง ไม่ใช่แค่คำเคลมสวย ๆ สารสกัดยุคใหม่จึงต้องมีข้อมูลวิจัยรองรับ พร้อมผลลัพธ์ทางคลินิกที่เชื่อถือได้
2) ความอ่อนโยนและปลอดภัยกับเกราะป้องกันผิว (Barrier-friendly Ingredients)
ทุกวันนี้เกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) เป็นคำที่คนพูดถึงเยอะมาก เพราะปัญหาผิวส่วนใหญ่ เช่น สิว ผิวลอก ผิวไวต่อแสง เกิดจากเกราะผิวอ่อนแอ เทรนด์ 2026 จึงเน้นการฟื้นฟู Skin Barrier และลดการระคายเคืองเป็นหลัก
3) ความยั่งยืนในการจัดหาวัตถุดิบและการผลิต (Sustainability Mindset)
ตั้งแต่การปลูก การสกัด ไปจนถึงบรรจุภัณฑ์ ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สารสกัดที่เป็นมิตรกับโลกจึงได้รับความนิยมมากขึ้น
เทรนด์สารสกัด 2026 และส่วนผสมยุคใหม่ที่น่าจับตามอง
โพสต์ไบโอติกส์ (Postbiotics)
โพสต์ไบโอติกส์เป็น สารที่ได้จากจุลินทรีย์ที่ดีต่อผิว เช่น กรดอะมิโนเปปไทด์ หรือกรดไขมันสายสั้น ซึ่งต่างจากโปรไบโอติกส์ที่ต้องมีจุลินทรีย์มีชีวิต ตรงที่ Postbiotics มีความเสถียรสูงกว่า ใส่ในสูตรง่ายกว่า และที่สำคัญคือ
ออกฤทธิ์กับไมโครไบโอมผิวโดยตรง
จุดเด่นของ Postbiotics
- ลดการอักเสบ เหมาะกับผิวเป็นสิว ผิวแดงง่าย
- เพิ่มความชุ่มชื้นได้ดีเพราะช่วยให้ “เกราะผิว” ทำงานได้มีประสิทธิภาพ
- ทำให้ผิวทนขึ้น ผิวดูสุขภาพดีขึ้นแบบยาวๆ
มีการคาดการณ์ว่า Postbiotics จะยังเป็นแกนหลักของเทรนด์ Microbiome Skincare ตลอดปี 2026 และเราจะเห็นในผลิตภัณฑ์หลายประเภท ตั้งแต่โทนเนอร์ เซรั่ม ไปจนถึงครีมบำรุง โดยเฉพาะสูตรที่เน้นการฟื้นฟูผิวอ่อนแอ
ทางเลือกเรตินอล (Algae Retinol)
กลุ่มสารสกัดที่มาแทนเรตินอลแบบดั้งเดิมกำลังโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะผู้บริโภคจำนวนมากอยากได้ผลลัพธ์ด้าน anti-aging แต่ไม่อยากเสี่ยงกับผลข้างเคียง เช่น ผิวลอก แสบร้อน หรือไวต่อแสงแดด
เรตินอลจากสาหร่าย (Algae Retinol)
เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ฮือฮามากในต่างประเทศ เพราะเป็น เรตินอลแบบอ่อนโยน ที่ใช้สารสกัดจากสาหร่ายบางชนิดให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงเรตินอล เช่น
- ลดเลือนริ้วรอย
- กระตุ้นการผลัดเซลล์
- ทำให้ผิวเรียบเนียน
แต่แตกต่างตรงที่ ไม่มีอาการลอก แพ้ แสบ หรือไวแสงแบบเรตินอลปกติ เหมาะกับผู้ใช้ที่ผิวแพ้ง่าย หรือผู้ที่เริ่มต้นอยากใช้ anti-aging
บาคุชิออล (Bakuchiol)
บาคุชิออล ยังคงครองความนิยมจนถึงปี 2026 เพราะถูกยกให้เป็น เรตินอลจากธรรมชาติ แบบแท้จริง สกัดจากพืชและมีงานวิจัยรองรับเพียบ
ประโยชน์หลักของ Bakuchiol
- ลดริ้วรอยและความหย่อนคล้อย
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
- ไม่ระคายเคืองเหมือนเรตินอล
เทรนด์ปี 2026 จะเห็น Bakuchiol ถูกนำมาใช้ในสูตรที่เน้นความอ่อนโยนและเสริมเกราะผิวมากขึ้น ตามความนิยมของกลุ่มผลิตภัณฑ์ Barrier Care
สมุนไพรปรับสมดุล (Adaptogenic Botanicals)
พืชกลุ่ม Adaptogen ได้รับความนิยมต่อเนื่อง เพราะช่วยปรับสมดุลผิวที่ได้รับผลจากมลภาวะต่างๆ ที่เป็นหนึ่งในสาเหตุใหญ่ของผิวโทรม ผิวหมอง และผิวอ่อนแอ ซึ่งสารสกัดกลุ่มนี้จะมีบทบาทสำคัญมากเทรนด์หลักของปี 2026
Adaptogens ที่มาแรงในปี 2026 ได้แก่
- Tremella (เห็ดหูหนูขาว): เติมความชุ่มชื้นเทียบเท่าไฮยาลูรอนิก และช่วยให้ผิวฟูไวขึ้น
- Reishi & Chaga: สมุนไพรที่ช่วยต้านการอักเสบ ลดรอยแดง ทำให้ผิวผ่อนคลาย
- Ashwagandha: ช่วยลดผลกระทบจากความเครียดสะสมบนผิว ทำให้ผิวกลับมาสมดุล
พืชที่เพาะเลี้ยงในห้องแล็บและอัพไซเคิล (Lab-Grown & Upcycled Botanicals)
สกินแคร์ยุคใหม่ไม่ได้เน้นแค่ผลลัพธ์ แต่ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อโลกด้วย เทรนด์นี้จึงเกิดจากความต้องการ ความยั่งยืน + คุณภาพที่สม่ำเสมอ เช่น
Lab-Grown Botanicals
การเพาะเลี้ยงพืชในห้องแล็บช่วยให้ได้สารสกัดที่คุณภาพเสถียร ไม่ผันผวนตามฤดูกาล และยังช่วยลดความเสี่ยงจากสารปนเปื้อน จุดนี้ทำให้หลายแบรนด์หันมาใช้สารสกัดจากพืชในห้องแล็บ เช่น
- ดอกเอเดลไวส์
- กล้วยไม้
- พืชหายากที่เลี้ยงยากในธรรมชาติ
นอกจากนี้ Lab-Grown Botanicals ยังช่วยให้แบรนด์ออกแบบสูตรได้แม่นยำและคงคุณภาพได้ยาวนานด้วย
Upcycled Ingredients
การนำวัตถุดิบเหลือใช้มาสกัดสารที่มีประโยชน์กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก เช่น
- เปลือกผลไม้ที่เหลือจากโรงงานน้ำผลไม้
- กากกาแฟจากร้านกาแฟ
- แกลบข้าวจากการเกษตร
เทรนด์นี้ตอบความต้องการของผู้บริโภคที่อยากสนับสนุนแบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และยังเป็นวิธีที่ช่วยลดขยะได้จริง ช่วยให้แบรนด์สื่อสารเรื่อง Sustainability ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นด้วย
แนวโน้มการดูแลผิวโดยรวมในปี 2026
นอกจากเทรนด์สารสกัด 2026 จะเปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว ยังเป็นปีที่วงการสกินแคร์อาจต้องเปลี่ยนทิศทางอย่างข้างชัดเจน จากการใช้ผลิตภัณฑ์เยอะๆ หลายขั้นตอน สู่การเลือก สิ่งที่เหมาะกับผิวจริงๆ ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับ คุณภาพของส่วนผสม ความสมดุลของผิว และความยั่งยืน มากขึ้น ซึ่งสามารถสรุปภาพรวมได้ 3 เทรนด์ใหญ่ที่ทุกแบรนด์ควรจับตา
Skinimalism หรือการใช้ผลิตภัณฑ์น้อยแต่มีประสิทธิภาพสูง
หนึ่งในเทรนด์ที่ชัดที่สุดคือการลดจำนวนสเต็ปในรูทีน ผู้บริโภคไม่ได้มองว่าการใช้สกินแคร์ 6-10 ขั้นตอนเป็นเรื่องจำเป็นอีกต่อไป เพราะหลายคนเริ่มมีปัญหา Barrier อ่อนแอจากการทดลองผลิตภัณฑ์หลายตัวพร้อมกัน
ปี 2026 จึงอาจเป็นปีที่ผู้บริโภคจะสนใจผลิตภัณฑ์ที่ทำงานได้หลายหน้าที่ในหนึ่งเดียว เช่น
- เซรั่มที่ให้ทั้งความชุ่มชื้น เสริมเกราะผิว และลดริ้วรอย
- มอยส์เจอไรเซอร์ที่ช่วยปลอบประโลมผิว พร้อมทำให้ผิวดูฟูทันที
- โทนเนอร์ที่ทำหน้าที่เหมือนเอสเซนส์ ให้การบำรุงในขั้นตอนเดียว
ผลิตภัณฑ์แบบ Multi-function จะกลายเป็นจุดขายใหม่ของแบรนด์ เพราะช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้นโดยไม่ต้องใช้หลายชิ้น และตอบโจทย์พฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความคุ้มค่าและใช้งานง่าย
Holistic & Neuro Beauty การดูแลผิวแบบองค์รวม
ความงามในปี 2026 ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ ครีมดี หรือ สารสกัดดัง อีกต่อไป แต่ขยับไปสู่เรื่องที่ลึกขึ้นอย่าง คุณภาพการนอน อารมณ์ ความเครียด และความสมดุลของฮอร์โมน เพราะงานวิจัยชี้ชัดว่า ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อสภาพผิวโดยตรง เทรนด์นี้ผลักดันให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่ผสานแนวคิด สุขภาพผิว + สุขภาพกายใจแบบองค์รวม เข้าไว้ด้วยกัน เช่น
- สารสกัดกลุ่ม Adaptogen ที่ช่วยลดผลกระทบของความเครียดบนผิว
- Neuro-calming ingredients ที่ช่วยปลอบประโลมผิวและช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย
- ผลิตภัณฑ์ที่สื่อสารเรื่อง Sleep-friendly หรือเหมาะกับรูทีนก่อนนอน
ผู้บริโภคกลุ่มในเมืองที่มีความเครียดสะสมจะเข้าถึงเทรนด์นี้มากที่สุด เพราะมองว่าความสวยควรมาจากสมดุลแบบองค์รวม
ความยั่งยืนและความโปร่งใส (Sustainability & Transparency)
ในช่วงที่ผ่านมาผู้บริโภค ตั้งคำถามเยอะขึ้นว่า ส่วนผสมมาจากไหน? หรือกระบวนการผลิตเป็นอย่างไร?เพราะผู้บริโภคให้ความใส่ใจในเรื่องความโปร่งใสในการผลิตและการตอบโจทย์แนวคิด Sustainability จึงทำให้เกิดแนวโน้มสำคัญที่แบรนด์ต้องปรับตัว คือ
- บรรจุภัณฑ์รีฟิลได้ หรือใช้พลาสติกน้อยที่สุด
- วัตถุดิบที่ Traceable ตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งปลูกหรือแหล่งผลิตได้
- การผลิตที่ลดคาร์บอน และใช้พลังงานหมุนเวียน
- การมี นโยบาย Sustainability ที่ชัดเจนและสื่อสารได้จริง
แบรนด์ที่ให้ข้อมูลโปร่งใส เช่น ระบุแหล่งที่มาของสารสกัด หรือแชร์ขั้นตอนการผลิตอย่างตรงไปตรงมา จะได้รับความมั่นใจจากผู้บริโภคมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
จากประสบการณ์ในวงการของ วธูธร เมื่อรวมกับข้อมูลการวิเคราะห์ต่างๆ เกี่ยวกับเทรนด์สารสกัด 2026 ทำให้เห็นได้ชัดว่าพฤติกรรมผู้บริโภคกำลังขยับไปสู่ คุณภาพที่พิสูจน์ได้จริง มากกว่าการตลาดสวยหรู และแบรนด์ที่ปรับตัวทันเทรนด์สารสกัดปี 2026 จะเป็นแบรนด์ที่ครองใจผู้ใช้ในระยะยาวอย่างแน่นอน
พร้อมปรับตัวสู่แบรนด์ยุคใหม่ไปกับ โรงงานผลิตครีม วธูธร
ในฐานะที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้มาหลายปี โรงงานผลิตครีม วธูธร เราเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เรานั้นเข้าใจดีว่าการเลือกสารสกัดที่ ตอบโจทย์ตลาดในอนาคต คือหัวใจสำคัญของการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จ วธูธรจึงพร้อมช่วยแบรนด์พัฒนาผลิตภัณฑ์ความงาม ผ่านการวิเคราะห์เทรนด์ส่วนผสม พร้อมนำนวัตกรรมใหม่ๆ จากทั่วโลกมาร่วมพัฒนาสูตรที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้แบรนด์ไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดที่เปลี่ยนแปลงเร็ว และสร้างผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภค ไว้วางใจและซื้อซ้ำ และทำให้แบรนด์ของคุณประสบความสำเร็จในตลาดบิวตี้ทั้งไทยและต่างประเทศ


